ชายผู้มากับไฟ บันทึกหน้าที่ 9

ชายผู้มากับไฟ

=>  เพียงเพื่อเขาต้องการความเรียบง่ายในการจัดการกับเศษวัชพืช
=>  เพียงเพื่อเขาต้องการความสะดวกสบายในการจัดการกับพืชที่การเกษตร

       ในวันหนึ่งชายผู้ที่ทรนงในความเป็นตัวของตัวเอง ออกเดินทางจากบ้านเพื่อที่จะไปสำรวจพื้นที่เพาะปลูกของตนเอง ซึ่งเป็นที่นาเสียวหนึ่ง ที่เป็นมรดกตกทอดมาจากพ่อกับแม่ ซึ่งเขาเองก็ได้ส่วนแบ่งมาส่วนหนึ่งกับพี่ๆน้องๆ ในทุกๆปี เขาจะตั้งหน้าตั้งตาที่จะทำการเกษตรเป็นอย่างดี
        ในปีหนึ่งที่นาผืนนี้ทำการเกษตรได้แค่ครั้งเดียว คือ ฤดูฝนเท่านั้น ที่จะทำการปลูกข้าวไว้กินทั้งปี
         ปีนี้ก็เช่นกัน เข้าเดือนเมษายนแล้ว ( เดือนห้า ในภาคเหนือ ) ถึงเวลาที่จะต้องเตรียมที่ดิน ที่นา ไว้สำหรับเพาะปลูกแล้วสินะ เขาตระหนักในเรื่องนี้ดี
         สิ่งหนึ่งที่เขาได้รับความรู้มาจากใครไม่รู้ว่า การเพาะปลูกนั้นจะให้ดี การเตรียมดินในครั้งแรกต้องเผาตอซังข้าวเดิมให้หมดเพื่อที่จะได้เศษขี้เถ่านั้นมาเป็นปุ๋ยอย่างดีในการทำเกษตรในปีนั้น ต้นข้าวจะได้สวยๆ  ในทุกๆปี นาข้าวที่เขาทำมาก็สวยงามทุกปีเช่นกัน แต่ก็ต้องแลกกับการไปซื้อปุ๋ยเคมี ( ยูเรีย ) มาใส่ ซึ่งปีหนึ่งเขาไม่ได้ใช้แค่ครั้งเดียว หลายต่อหลายครั้งเมื่อข้าวเหลืองเขาก็จะเอาปุ๋ยเคมีมาใส่ พอรุ่งเช้าต้นข้าวก็เขียวขึ้นมาทันตาเห็น  เขาจึงมีความเชื่อว่าสิ่งที่เขาทำมาทุกปีในคือสิ่งที่ถูกต้องและเขาจะทำต่อไป
        ชายผู้นี้เขาไม่ได้ตระหนักเลยด้วยซ้ำว่าสิ่งที่เขากลืนกินทุกๆวันนั้น คือข้าวผสมสารเคมี ยาฆ่าแมลง ที่ใช้ในทุกๆปี เขามีอาการออดๆแอดๆ ในเรื่องของสุขภาพ เข้าโรงพยาบาลสองถึงสามครั้งในหนึ่งปี เขาได้แต่โทษผีสางนางไม้ที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้
        วันที่ 5 เมษา แล้ว ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ทางการเขาห้ามแล้ว คงได้เวลาที่เราจะต้องไปเผาซังข้าวแล้วสินะ คงไม่มีอะไรหรอก ( เขาคิด ) คนอื่นเขาก็เผากัน เราเผาอีกคนคงไม่เป็นไร
        ไฟแช็คถูกเก็บใส่ในกระเป๋ากางเกง พร้อมกับถุงข้าวและน้ำดื่ม เอาใส่ในย่าม เขาเดินสะพายย่ามไปยังที่นาของตนเอง เมื่อไปถึงเขาหันซ้ายหันขวาเมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครแล้ว เขาเริ่มล้วงกระเป๋ากางเกง หยิบเอาไฟแช็คออกมา พร้อมนั่งลงตรงขอบคันนา มือข้างซ้ายบังลม หัวแม่มือข้างขวา เลื่อนหินจุดไฟ ประกายไฟได้ติดขึ้น เขาเอาไฟแช็คเข้าไปจุดตรงตอซังข้าว ซึ่งในเวลานี้มันแห้งมากพร้อมที่จะติดไฟทุกเมื่อ ที่มีประกายเกิดขึ้น
        ไฟเริ่มลุกลามเป็นวงกว้างออกไปเรื่อยๆ เขาเริ่มรู้ตัวว่าไม่สามารถที่จะควบคุมสถานการณ์ในครั้งนี้ได้แล้ว ความกังวล ความขลาดกลัว เริ่มเกิดขึ้นในใจของเขา สิ่งหนึ่งที่เขาฉุกคิดขึ้นมาได้ในขณะนั้นคือ กลับบ้าน
        ในระหว่างกลับบ้าน เขาก็ทำเป็นเฉยๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาไม่มีความรู้สึกต่อสิ่งที่เขาลงไปเดินต่อไปยังบ้านของตนเอง
        แต่ในขณะนั้นเอง เจ้าอัคคีที่ก่อตัวขึ้นมาเริ่มสำแดงความเกรี่ยวกราด จากวงเล็กๆ เริ่มขยายอณาเขต ออกไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นสวนยางพารา สวนมะม่วง สวนป่าสัก หรือแม้แต่กระท่อมกลางนาและในสวน ก็ไม่เว้น ทุกสิ่งดำเป็นตอตะโก ไม่เหลือแม้กระทั่งเค้าโคลงเดิม
      การเผาผลาญยังมีต่อไปเรื่อยๆ ควันไฟ ฟุ้งกระจายเป็นวงกว้าง สร้างมลพิษให้กับประชาชนเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอย่างเลี่ยงไม่ได้
  เย็นวันที่ 6 เมษา เข้าหัวค่ำแล้ว ลมพายุเริ่มกระหน่ำ ยิ่งทำให้มวลไฟเร่ิมขยายเป็นวงกว้างออกไปเรื่อยๆ ไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ได้แต่ภาวนาว่าคืนนี้คงจะมีสายฝนโปรยกระหน่ำลงมาเพื่อที่จะหยุดยั้งเจ้าอัคคีไว้ ไม่ให้ทำลายไปมากกว่านี้
       ถึงแม้นสายฝนจะทำให้ไฟดับลง แต่ก็คงไม่สามารถที่จะชดเชยสิ่งที่เสียไปซึ่งถ้าเทียบเป็นมูลค่าแล้วคงหลายบาท แต่ที่เสียยิ่งกว่าคือทัศนียภาพ สุขภาพ และที่สุดของการสูญเสียคือ เสียความรู้สึกต่อการกระทำของคนแค่เพียงคนเดียว

     โชคดีในความมักง่ายในชีวิต ใช้สิทธิเพื่อตัวเอง คนอื่นจะเป็นอย่างไรก็ช่างหัวมันปะไร

ความคิดเห็น