ชนเผ่ามลาบรี Mlabri ( ผีตองเหลือง )
ในโลกปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่รวดเร็วและรุนแรงก่อให้เกิดการปรับตัวครั้งใหญ่ของคนในชนบท ซึ่งในความเป็นจริงนั้นการเปลี่ยนแปลงนี้แทบจะไม่รู้สึกถึงผลกระทบอะไรเลยก็ว่าได้
ยุคแห่งเทคโนโลยี เชื่อว่าถ้าเราเดินทางเข้าไปเที่ยวที่ไหนสักแห่งหนึ่งที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ หลายคนคงจะรู้สึกอารมณ์เสียมิใช่น้อย บางคนถึงกับอยู่ยากเป็นกระวนกระวาย เหตุผลต่างๆนาๆ จะถูกนำออกมาเพื่อให้มาสนับสนุนความต้องการของตน ณ ขณะนั้น
เราเคยสงสัยไหมครับว่า เมื่อไม่ถึง 10 ปี ก่อนเราไม่มีแม้แต่โทรศัพท์ หรือมีโทรศัพท์แต่ไม่มีสัญญาณ เราก็ไม่ได้เป็นกระวนกระวายอะไรมากนัก ย้อนกลับไปอีกนิด ไม่มีเลย จดหมายเป็นสื่อที่ติดต่อกันดีที่สุด แต่กว่าจะมาถึงมันช่างนานเหลือเกิน แต่พอได้อ่านมันกลับยิ่งใหญ่มาก ได้เห็นลายมือ ( อาจไม่สวย ) แต่แฝงด้วยความตั้งใจที่จะเขียน
โลกช่างเปลี่ยนไปเร็วเหลือเกิน คนที่ไม่ยอมพัฒนาตนเองกลับอยู่ยากขึ้นทุกวัน ถึงแม้ว่าคนเหล่านั้นจะไม่สนใจของเหล่านี้ แต่กลับถูกยัดเยียดให้สัมผัสกับของเหล่านี้ ไม่เป็นก็จำเป็นที่จะต้องเป็น ไม่มีก็ถูกยัดเยียดให้ต้องมี ( ถ้าไม่มีก็จะถูกตราหน้าว่า เชย )
อุปกรณ์เหล่านี้ถูกพัฒนามาเป็นระยะๆ และเร็วมากด้วย เมื่อ 4 ปีก่อน ผมยังทึ่งอยู่กับการโทรศัพท์แบบเห็นหน้า ( Facetime ) มันรู้สึกดีมากๆ อยู่ไกลกันก็เหมือนอยู่ใกล้ แต่ ณ ขณะนี้กลับเป็นเรื่องธรรมดามากกับการโทรแบบนี้ และยังมีอีกหลายๆ การติดต่อที่มีมากจนเลือกใช้ไม่หมดในปัจจุบัน
มลาบรี ( Mlabri )
เด็กหญิงตัวน้อยนั่งมองด้วยสายตาอันสงสัยว่าเรามาทำไม มองด้วยความไร้เดียงสา เขาจะรู้ตัวไหมนะ ณ ตอนนี้เขาคือหนึ่งในไม่กี่ร้อยคนที่ยังหลงเหลืออยู่ในโลกแห่งนี้ แล้วจะอยู่อย่างไรในช่วงชีวิตเหลืออยู่นี้ เป็นคำถามสำคัญที่เด็กน้อยคนนี้จะต้องเจอ
จริงอยู่เขาอยู่ในดินแดนที่มีคนเข้าไปหาค่อนข้างยากมากทีเดียว แต่ในไม่ช้าเขาก็ต้องประสบพบเจออยู่ดี
ชุมชนนี้ตั้งอยู่ในหุบเขาๆหนึ่ง ในอำเภอบ่อเกลือ จ.น่าน เป็นชุมชนเล็กๆ เล็กมาก อาศัยอยู่กับคนในชนเผ่าลั๊วะ ในบริเวณนั้น เขาถูกโยกย้ายมาจาก อ.เวียงสา แยกตัวออกมาให้มาอยู่อาศัยในบริเวณนี้ และปลีกตัวเข้าไปอยู่ในป่าลึกเข้าไปอีกหน่อยหนึ่ง
 |
บ้านลั๊วะ ยุคกลาง |
แต่เดิมชาวมลาบรี หรือชนเผ่าผีตองเหลือง ที่คนน่านพูดกัน การดำรงชีวิตนั้นจะเป็นชนเผ่าที่ไม่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง ไม่มีการเพาะปลูก ล่าสัตว์เป็นอาหาร หาหัวมันประทังชีวิต และการสร้างที่อยู่อาศัยก็เป็นลักษณะเพิงหมาแหงนง่ายๆไม่ถาวรเพราะสร้างไว้ในช่วงเวลาที่สามารถอาหารได้เท่านั้น แล้วย้ายถิ่นฐานเมื่ออาหารแถวนั้นหมดลง นี่คือวงจรชีวิตของชนเผ่า และเป็นที่มาของชนเผ่าผีตองเหลือง
 |
ลักษณะที่อยู่อาศัย แบบเดิม เพิงหมาแหงน |
ถ้าดูจากลักษณะที่อยู่อาศัยแล้ว ผมขอเดาว่า เขาคงต้องอยู่แบบสันโดษเอามากๆ จากการสอบถามจากน้องๆ ที่มาทำหน้าที่นำชม ก็ให้ข้อมูลว่าจริงๆแล้วชนเผ่ามลาบรี นี้ เป็นชนเผ่าที่ขี้อายมาก ไม่ชอบการต่อสู้ จะใช้วิธีการเลี่ยงมากกว่าจะปะทะ ความเป็นอยู่จะเป็นครอบครัวเล็กๆ สร้างที่อยู่พอซุกหัวนอน แล้วเปลี่ยนตอนอาหารหมดแค่นั้น
การแต่งกาย ของพี่น้องชนเผ่านี้ เมื่อก่อนแทบจะไม่ใส่อะไรเลย แต่ในปัจจุบันก็เริ่มมีการใช้เครื่องนุ่งห่มมากขึ้นเพราะต้องมีการติดต่อประสานงานกับหน่วยงานข้างนอก

การรักษาพยาบาล คนในชนเผ่าจะรักษาตามภูมิปัญญาชาวบ้าน สมุนไพรในป่าที่สืบทอดกันมาต้ังแต่โบราณใช้กันมาตามรุ่นต่อรุ่น การรักษาตามมีตามเกิดจึงเพิ่มอัตราการตายเพิ่มขึ้น น่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้จำนวนประชากรของชนเผ่าอยู่ในขั้นวิกฤต และมีจำนวนประชากรที่น้อยเอามากๆในปัจจุบัน การช่วยเหลือจากทางการเริ่มมีบทบาทมากขึ้น ตั้งแต่การส่งทีมแพทย์เข้าไปช่วยเหลือมากขึ้น แต่การเข้าไปแต่ละครั้งก็ต้องได้รับการยินยอมจากหัวหน้าหมู่บ้านทุกครั้ง แต่ก็ยังดีที่มีการช่วยเหลือในทางการแพทย์เป็นเบื้องต้น
การศึกษา ในชนเผ่ามลาบรีเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาจากการสนับสนุนของ สมเด็จพระเทพพระรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และพระองค์ท่านได้สนับสนุนการนี้โดยเฉพาะ ดังนั้นเด็กๆในชนเผ่าจึงมีโอกาสที่จะได้เรียนหนังสือตามสิทธิขั้นพื้นฐาน
โรงเรียนนี้จัดตั้งขึ้นเพื่อชนเผ่านี้ด้วยความตั้งใจ เพื่อให้เด็กๆได้พัฒนาทั้งทางด้านร่างกายและสติปัญญาของเด็กๆที่นี้ โรงเรียนในป่าใหญ่ เรียบง่ายเหมาะกับวิถีชีวิต
 |
บ้านพักครู ที่น่าอยู่มากๆ |
แต่ครูต้องลำบากนิดหนึ่งที่จะเดินทางมาสอนนักเรียนที่นี่ เพราะนอกจากระยะทางที่จะมาแล้ว ถนนหนทางนี้ไม่ต้องพูดถึงเลยทีเดียว อาจจะเป็นระยะทางสั้นๆ แต่ก็คงจะมันไม่ใช่น้อยถ้าเป็น ฤดูฝน หนทางคงจะแฉะน่าดูเลยทีเดียว เห็นน้องมัคคุเทศก์น้อย เล่าว่าครูต้องจอดรถไว้ข้างนอกแล้วเดินเท้าเข้ามาสอนเอง ในปัจจุบันนี้ชนเผ่ามลาบรีได้รับการสนับสนุนจาก มสธ. ( มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ) เข้าไปช่วยในเรื่องของการจัดการศึกษาของกลุ่มที่สำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐานและต้องการที่จะเรียนต่อในระดับต่างๆที่มหาวิทยาลัยเปิดสอน
อาชีพ ในปัจจุบันชาวมลาบรีได้รับการสนับสนุนการทำอาชีพที่มั่นคงและเป็นรูปแบบมากขึ้น โดยการสนับสนุนของโครงการหลวง ศูนย์ภูฟ้า ให้ชาวมลาบรี ได้ปลูกสตรอเบอรี่ , มัลเบอรี เป็นพืชเศรษฐกิจหลัก แต่ผมก็ยังเห็นต้นยางพารามาโผล่ในสถานที่แห่งนี้ด้วย
ลูกหม่อน ( มัลเบอรี่ ) เป็นพืชเศรษฐกิจที่ชาวมลาบรีได้รับการสนับสนุนให้ปลูก ซึ่งชาวบ้านก็ปลูกเป็นจำนวนมาก หลายไร่ เลยทีเดียว การเก็บผลผลิตนั้น ทางชาวบ้านเมื่อเก็บได้จำนวนมากๆ ก็จะนำส่งไปให้ ศูนย์ภูฟ้า เพื่อนำไปแปรรูป เป็นน้ำลูกหม่อน ( น้ำมัลเบอรี ) เพื่อนำไปจำหน่วยต่อไป ทำให้ชาวบ้านที่นี้ได้มีรายได้อยู่พอสมควรที่จะดำรงชีพในสภาวะปัจจุบันนี้ได้ อย่างไม่ขาดแคลน และส่วนหนึ่งรายได้ของที่นี้ก็มาจากนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมวิถีชีวิตของชาวมลาบรีที่นี่ บ้างก็ให้ของบริจาค บ้างก็อุดหนุนซื้อสินค้าจากร้านค้าชุมชนบ้าง หรือบางคนก็ลงไปเก็บลูกหม่อนบ้างแล้วก็อุดหนุนกันไป บรรยากาศก็น่ารักไปอีกแบบหนึ่ง

ชาวบ้านที่นี่น่ารักครับ เป็นกันเองมากถ้าอยู่นอกหมู่บ้าน เสียดายอย่างเดียวที่เราไม่สามารถที่จะเข้าไปเยี่ยมในหมู่บ้านจริงๆได้ เพราะทางผู้นำชุมชนเขาไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าหมู่บ้านโดยเด็ดขาด นอกจากจะได้รับอนุญาตเป็นกรณีไปครับ แต่ก็คุ้มค่าไม่น้อยที่ได้มาเยี่ยมเพราะที่นี่เขาจัดทำเส้นทางที่บ่งบอกถึงความเป็นมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การใช้ชีวิต ต้ังแต่การเกิด ถึงการตาย โดยน้องๆ มัคคุเทศก์ จากชนเผ่ามาคอยเล่าให้เราได้ฟังกัน
อนาคต จะเป็นอย่างไรสำหรับชาวมลาบรี ในที่นี้คงไม่มีใครทราบเท่ากับคนในชุมชนนี้ แต่เชื่อว่าคนในชุมชนจะยังรักษาวัฒนธรรมบางอย่างที่บ่งบอกถึงความเป็นมลาบรีไว้ ถึงแม้ว่าการย้ายถิ่นฐานนั้นจะทำไม่ได้อีกต่อไป การเพาะปลูก การเลี้ยงสัตว์ ถูกนำมาทดแทนเพื่อการดำรงชีพและเผ่าพันธุ์
อนาคตจะล่มสลายหรือจะยอมเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาเพื่อรักษาเผ่าพันธุ์ เป็นโจทย์ที่น่าคิดสำหรับชาวมลาบรี ครับ
Gallery
 |
แข่งความเร็ว กับชาวมลาบรี |
 |
เส้นทางแห่งชีวิต |
 |
ความสุขหาได้ไม่ยาก |
 |
มัคคุเทศก์น้อย |
 |
แววตา |
 |
ศูนย์เรียนรู้ |
 |
ดนตรีอยู่ที่ใจ |
 |
ลวดลายลีลา |
 |
เครื่องดนตรีคือกระบอกไม้ไผ่ |
 |
ลวดลายลีลา |
 |
ทุกจังหวะคือชีวิต |
 |
ผมเอง |
 |
มอบยาสามัญประจำบ้าน |
 |
ปีติยินดี ขอบคุณ |
ขอบคุณครับ
ถ้าจะเอาเสื้อไปบริจาคติดต่อไหนได้จ้าว
ตอบลบ